1) จัดเก็บและบันทึกข้อมูล (Data Storage) |
2) ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล (Reduce Data Redundancy) |
3) สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ (Data Concurrency) |
4) ลดความขัดแย้งหรือแตกต่างกันของข้อมูล (Reduce Data Inconsistency) |
5) ป้องกันการแก้ไขข้อมูลต่างๆ (Protect Data Editing) |
6) ความถูกต้องของข้อมูลมีมากขึ้น (Data Accuracy) |
7) สะดวกในการสืบค้นข้อมูล (Data Retrieval or Query |
8) ป้องกันการสูญหายของข้อมูล หรือฐานข้อมูลถูกทำลาย (Data Security) |
9) เกิดการประยุกต์ใช้ระบบสารสนเทศ (Apply Information System) |
โครงสร้างข้อมูล (File Structure) |
โครงสร้างข้อมูล หมายถึง ลักษณะการจัดแบ่งพิกัดต่าง ๆ ของข้อมูลสำหรับแต่ละระเบียน (Record) ในแฟ้มข้อมูลเพื่อให้คอมพิวเตอร์สามารถรับไปประมวลผลได้ ประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ |
1) บิท (Bit : Binary Digit) บิท (Bit : Binary Digit) คือ หน่วยของข้อมูลที่เล็กที่สุดที่เก็บอยู่ในหน่วยความจำภายในคอมพิวเตอร์ ซึ่ง Bit จะแทนด้วยตัวเลขหนึ่งตัว คือ 0 หรือ 1 อย่างใดอย่างหนึ่ง เรียกตัวเลข 0 หรือ 1 ว่าเป็น บิท 1 บิท |
2) ไบท์ (Byte) หรือ ตัวอักขระ (Character) ไบท์ (Byte) หรือ ตัวอักขระ (Character) คือ หน่วยของข้อมูลที่นำบิทหลายๆบิทมารวมกัน แทนตัวอักษรแต่ละตัว เช่น A, B, …, Z, 0, 1, 2, … ,9 และสัญลักษณ์พิเศษอื่นๆ เช่น $, &, +, -, *, / ฯลฯ โดยตัวอักษร 1 ตัวจะแทนด้วยบิท 7 หรือ 8 บิท (1 บิท แทนด้วยตัวอักษร 7 หรือ 8 บิท) ซึ่งตัวอักษรแต่ละตัวจะเรียกว่า ไบท์ เช่น ตัว A เมื่อเก็บอยู่ในคอมพิวเตอร์จะเก็บเป็น 1000001 ส่วนตัว B จะเก็บเป็น 1000010 เป็นต้น |
3) เขตข้อมูล (Field) หรือคำ (Word) เขตข้อมูล (Field) หรือคำ (Word) คือ หน่วยของข้อมูลที่เกิดจากการนำตัวอักขระหลายๆตัวมารวมกัน เป็นคำที่มีความหมาย |
4) ระเบียน (Record) ระเบียน (Record) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนำเขตข้อมูลหลายๆ เขตข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน หรือค่าของข้อมูลในแต่ละเขตข้อมูล |
5) แฟ้มข้อมูล (File) แฟ้มข้อมูล (File) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนำระเบียนหลายๆ ระเบียนที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน |
6) ฐานข้อมูล (Database) ฐานข้อมูล (Database) คือ หน่วยของข้อมูลที่มีการนำแฟ้มข้อมูลหลายๆ แฟ้มข้อมูล ที่มีความสัมพันธ์กันมารวมกัน เช่น ฐานข้อมูลในระบบทะเบียนนักศึกษา จะประกอบด้วยแฟ้มข้อมูลรายวิชา นักศึกษา การลงทะเบียน ผลการเรียนประจำเทอม โปรแกรมวิชา และคณะ เป็นต้น |
การออกแบบฐานข้อมูล |
โดยทั่วไป การออกแบบฐานข้อมูลเพื่อนำมาใช้งานภายในองค์กรสามารถจำแนกได้ 2 วิธี คือ วิธีอุปนัย (Inductive approcah) และวิธีนิรนัย (Deductive approach) |
1) วิธีอุปนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีอุปนัย เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากล่างขึ้นบน (Bottom-up design) ด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีการใช้งานอยู่แล้วภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กร มาเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อจัดทำเป็นระบบฐานข้อมูลขององค์กร ซึ่งมีข้อจำกัด คือ การนำกรรมวิธีย่อย ๆ จากการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ มารวมเข้าด้วยกันเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก และต้องใช้เวลามากจึงจะสามารถออกแบบและสร้างระบบฐานข้อมูลที่สมบูรณ์ได้ |
2) วิธีนิรนัย การออกแบบฐานข้อมูลด้วยวิธีนิรนัย เป็นการออกแบบฐานข้อมูลจากบนลงล่าง (Top-down design) เป็นการออกแบบฐานข้อมูลด้วยการเก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนการทำงานของหน่วยงาน ต่าง ๆ ภายในองค์กร และความต้องการใช้งานฐานข้อมูล จากการสังเกตการณ์ สอบถาม หรือสัมภาษณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูล ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากแบบฟอร์มต่าง ๆ ที่มีใช้อยู่ภายในหน่วยงาน เพื่อนำมาออกแบบโครงสร้างฐานข้อมูลขององค์กร ซึ่งมีข้อจำกัดในการออกแบบ คือ บุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานฐานข้อมูลต้องให้ความสำคัญและความร่วมมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จึงจะทำให้ได้ระบบฐานข้อมูลที่ถูกต้องและครอบคลุมระบบงานต่าง ๆ ภายในองค์กร |
บุคลากรที่ทำหน้าที่ในการออกแบบฐานข้อมูล 3 ฝ่าย คือ ผู้บริหารฐานข้อมูล (Data Base Administrator : DBA) และผู้บริหารข้อมูล (Data Administrator : DA) นักวิเคราะห์ระบบ (Systems Analysts) นักเขียนโปรแกรม (Programmer) และผู้ใช้ (End-User) ดังนี้ |
1) ผู้บริหารฐานข้อมูลและผู้บริหารข้อมูล ผู้บริหารฐานข้อมูลเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการ ควบคุม กำหนดนโยบาย มาตรการ และมาตรฐานของระบบฐานข้อมูลทั้งหมดภายในองค์กร ตัวอย่างเช่น กำหนดรายละเอียดและวิธีการจัดเก็บข้อมูล กำหนดควบคุมการใช้งานฐานข้อมูล กำหนดระบบรักษาความปลอดภัยของข้อมูล กำหนดระบบสำรองข้อมูล และกำหนดระบบการกู้คืนข้อมูล เป็นต้น ตลอดจนทำหน้าที่ประสานงานกับผู้ใช้ นักวิเคราะห์ระบบ และนักเขียนโปรแกรม |
2) นักวิเคราะห์ระบบและนักเขียนโปรแกรม นักวิเคราะห์ระบบมีหน้าที่รับผิดชอบในการวิเคราะห์และออกแบบระบบฐานข้อมูล ดังนั้นจึงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจในระบบงานที่องค์กรต้องการ รวมทั้งต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ความเข้าใจในกระบวนการทำงานโดยรวมของทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อีกด้วย |
นักเขียนโปรแกรมมีหน้าที่รับผิดชอบในการเขียนโปรแกรมประยุกต์เพื่อการใช้งานในลักษณะต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น การเก็บบันทึกข้อมูล และการเรียกใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูล เป็นต้น |
3) ผู้ใช้ ผู้ใช้เป็นบุคคลที่ใช้ข้อมูลจากระบบฐานข้อมูล ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของระบบฐานข้อมูล คือ ตอบสนองความต้องการในการใช้งานของผู้ใช้ ดังนั้นในการออกแบบระบบฐานข้อมูลจึงจำเป็นต้องมีผู้ใช้เข้าร่วมอยู่ในกลุ่มบุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบฐานข้อมูลด้วย |
คุณสมบัติของฐานข้อมูลที่ดี |
1) เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราสนใจจะทราบ |
2) สมบูรณ์ (Complete) |
3) เป็นปัจจุบัน (Update) |
4) ถูกต้อง (Accuracy) |
5) ค้นหาได้สะดวก (Retrieve or Query) |
การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานต่างๆ |
1) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานบุคลากร |
เนื่องจากบุคคลเป็นทรัพยากรที่สำคัญต่อการดำเนินงานและปฏิบัติงานขององค์กร ในการเก็บบันทึกประวัติบุคลากรของหน่วยงานแต่ละแห่ง ประวัติของบุคคลหนึ่งคนจึงประกอบด้วย |
- ข้อมูลเกี่ยวกับตนเองและครอบครัว เช่น เลขที่บัตรประจำตัวประชาชน ชื่อ-นามสกุล วัน/เดือน/ปีเกิด สถานภาพสมรส ชื่อ-นามสกุลของสามีหรือภรรยา จำนวนบุตร ที่อยู่ และเบอร์โทรศัพท์ เป็นต้น |
- ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการศึกษาในระดับต่าง ๆ เช่น ระดับการศึกษาสูงสุด สถาบันที่จบการศึกษา เกรดเฉลี่ย และการทำกิจกรรมพิเศษต่าง ๆ เป็นต้น |
- ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการเข้ารับการฝึกอบรม/สัมมนา/ดูงาน เช่น เรื่อง วัน/เดือน/ปีและสถานที่เข้ารับการฝึกอบรม/สัมมนา/ดูงาน เป็นต้น |
- ผู้บริหารแต่ละระดับจำเป็นต้องใช้ฐานข้อมูลทางด้านบุคลากรเพื่อการวางแผน การตัดสินใจ การจัดสายงาน การอำนวยการ และการควบคุมงานให้เหมาะสมในเรื่องต่าง ๆ เช่น การจัดสรรบุคลากรเพื่อการปฏิบัติงานในตำแหน่งต่าง ๆ ตามความรู้และความสามารถ การวางแผนอัตรากำลังในหน่วยงานขององค์กรเพื่อรองรับ การขยายงาน การพิจารณาเงินเดือน/เลื่อนขั้น/ความดีความชอบจากผลการปฏิบัติงานและวันหยุด/วันลา เป็นต้น |
- เจ้าหน้าที่ในระดับปฏิบัติการจะใช้ฐานข้อมูลทางด้านบุคลากรในด้านการปฏิบัติงาน การติดต่อสื่อสารภายใน การควบคุมงาน และการติดตามงาน เช่น การคิดภาษีเพื่อหักจากเงินเดือน ณ ที่จ่ายจำเป็นต้องทราบอัตราเงินเดือน สถานภาพสมรส และจำนวนบุตร การแก้ไข/เปลี่ยนแปลงข้อมูลชื่อ-นามสกุล การบันทึกข้อมูล การเพิ่มวุฒิ/การฝึกอบรม การติดต่อสื่อสารเพื่อติดตามงานระหว่างหน่วยงานในองค์กร เป็นต้น |
- หน่วยงานอื่นๆในภาครัฐหรือเอกชน อาจใช้ฐานข้อมูลบุคลากร ในการดูแลเรื่องภาษีอากร การจ้างงาน สวัสดิการ รวมทั้งกฎหมาย/ข้อบังคับที่เกี่ยวกับบุคคลและการดำเนินงานทางธุรกิจ เป็นต้น |
2) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนักศึกษา |
การเก็บบันทึกข้อมูลในเรื่องเกี่ยวกับ ใบลงทะเบียนของนักศึกษาในสถานศึกษาแต่ละแห่งประกอบด้วย |
- ข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษา เช่น รหัสประจำตัว ชื่อ-นามสกุล โปรแกรมวิชาและคณะ เป็นต้น |
- ข้อมูลเกี่ยวกับอาจารย์ที่ปรึกษา เช่น รหัสอาจารย์ที่ปรึกษา และชื่ออาจารย์ เป็นต้น |
- ข้อมูลเกี่ยวกับชุดวิชาที่ลงทะเบียน เช่น ภาคการศึกษา ปีการศึกษา รหัสวิชา ชื่อวิชา จำนวนหน่วยกิต และค่าลงทะเบียน เป็นต้น |
นอกจากนี้ข้อมูลการลงทะเบียนของนักศึกษายังเกี่ยวข้องเชื่อมโยงและสัมพันธ์กับเรื่องอื่น ๆ อีก เช่น จำนวนหน่วยกิตขั้นต่ำที่นักศึกษาจะต้องลงทะเบียน จำนวนวิชาที่เปิดสอนในแต่ละภาคการศึกษา ห้องเรียน/ชั้นเรียนที่ใช้ในการเรียนการสอน และอาจารย์ที่ทำการสอนในแต่ละวิชา เป็นต้น โดยนักศึกษา อาจารย์ หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานทะเบียน สามารถนำข้อมูลที่จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลงานทะเบียนนักศึกษามาใช้ประโยชน์ต่างๆได้ เช่น |
- นักศึกษาใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนักศึกษาเพื่อทำการวางแผนและตัดสินใจในเรื่องการเรียน เช่น การลงทะเบียนเรียนในแต่ละเทอม ดูผลการเรียนและเกรดเฉลี่ย ดูตารางสอนและตารางสอบ เป็นต้น |
- อาจารย์ใช้ฐานข้อมูลในงานทะเบียนนักศึกษาเพื่อวางแผนและการปฏิบัติงานในเรื่องการเรียนการสอน เช่น ดูรายชื่อนักศึกษา จำนวนนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนในแต่ละวิชา การคิดคะแนนและประเมินผลการเรียน เป็นต้น |
- ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานทะเบียนนักศึกษาอาจใช้ฐานข้อมูลดังกล่าว ในการจัดทำตารางเรียน การจัดทำใบเสร็จรับเงินค่าลงทะเบียน การคืนเงินค่าลงทะเบียนเรียน การจัดสอบ และการจัดทำใบรายงานผลการศึกษา เป็นต้น |
3) การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานซื้อขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า |
การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานต่าง ๆ ได้แก่ การขายปลีก ระบบบัญชีเจ้าหนี้ และระบบบัญชีสินค้าคงคลัง เป็นต้น ซึ่งการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลกับการขายปลีก ทำให้องค์กรสามารถออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง ทำให้สามารถจัดทำรายงานการขายประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
ทั้งนี้ในงานซื้อขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า ระบบบัญชีเจ้าหนี้จะเกิดขึ้นเมื่อองค์กรมีการสั่งซื้อสินค้าเข้ามา การบันทึกข้อมูลใบสั่งซื้อสินค้าด้วยการใช้เทคนิคระบบจัดการฐานข้อมูลจะทำให้สามารถพิมพ์รายงานเรียงตามลำดับวันที่ค้างชำระได้ ซึ่งรายงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาใช้เพื่อการบริหารจัดการการเงินขององค์กรให้มีประสิทธิภาพได้ และยังสามารถพิมพ์เช็คชำระหนี้รวมทั้งบันทึกรายการชำระหนี้ได้ จึงทำให้สามารถจัดทำรายงานสรุปการจ่ายเงินในแต่ละวันได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว |
ดังนั้น การประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในงานซื้อขายสินค้าในห้างสรรพสินค้าจึงช่วยให้ผู้บริหารขององค์กรสามารถหาคำตอบในเรื่องต่าง ๆ ต่อไปนี้ได้ เช่น ความต้องการสินค้าของลูกค้าเพิ่มมากขึ้นหรือลดลง สินค้าชนิดใดที่ได้รับความนิยมหรือเสื่อมความนิยม องค์กรเป็นหนี้การค้าหน่วยงานบริษัทใดบ้าง เป็นจำนวนเงินมากน้อยเพียงใด เป็นต้น จากตัวอย่างที่กล่าวมานี้จะเห็นได้ว่า หากองค์กรมีการประยุกต์ใช้ฐานข้อมูลในการดำเนินงานแล้ว ผู้บริหารจะสามารถทำการวางแผนและตัดสินใจเพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว และทันเวลา |
การสืบค้นสารสนเทศ |
ในที่นี้จะกล่าวถึงฐานข้อมูลที่มีให้บริการในสำนักวิทยบริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต การสืบค้นสารสนเทศที่เป็นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่าย ทั้งของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต และจากสถาบันการศึกษาอื่นๆ |
1. บริการสืบค้นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่าย |
บริการฐานข้อมูลระบบห้องสมุดอัตโนมัติ (VTLS : Virginia Technology Library System) ของสถาบันราชภัฎสวนดุสิต เป็นบริการสืบค้นบัตรรายการผ่านระบบเครือข่าย จากฐานข้อมูลหนังสือ และวารสารที่มีอยู่ในสำนักวิทยบริการมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ซึ่งนักศึกษาสามารถใช้บริการได้จากเว็บไซต์ www.arc.dusit.ac.th |
การสืบค้นบัตรรายการจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ซึ่งมีวิธีการสืบค้นบัตรรายการคล้ายๆ กับของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต จะต่างกันตรงหน้าจอรับและแสดงผลข้อมูล ถ้านักศึกษาทราบ URL (Universal Resource Locator) หรือชื่อเว็บไซต์ของห้องสมุดสถาบันการศึกษาที่ต้องการจะเข้าไปค้นหาข้อมูลหนังสือ นักศึกษาก็จะสามารถสืบค้นรายละเอียดของบัตรรายการได้เช่นกัน ห้องสมุดหลายๆแห่ง อาจมีหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งให้นักศึกษาสังเกตคำว่า "Catalog" เมื่อคลิกเข้าไปจะนำไปสู่หน้าจอของการสืบค้นบัตรรายการได้ |
ชื่อห้องสมุด |
URL |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ |
http://www.lib.ku.ac.th |
สำนักวิทยบริการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย |
http://library.chula.ac.th |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
http://library.tu.ac.th |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยมหิดล |
http://www.li.mahidol.ac.th |
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยรามคำแหง |
http://library.lib.ru.ac.th |
สำนักบรรณสารการพัฒนา สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) |
http://www.nida.ac.th/lib.htm |
สำนักหอสมุดกลาง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ |
http://library.kmitnb.ac.th |
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ |
http://www.swu.ac.th/lib |
สำนักหอสมุดกลาง มหาวิทยาลัยกรุงเทพ |
http://cenlibk.bu.ac.th |
สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยนเรศวร |
http://www.lib.nu.ac.th |
|
ฐานข้อมูลที่มีให้บริการในสำนักวิทยบริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต |
สำนักวิทยบริการของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตเป็นแหล่งรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทุกสาขาวิชา และเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย เพื่อให้บริการสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ มีทั้งบรรณานุกรม บทคัดย่อ และบทความเต็มของวารสาร (Index, Abstract and Full text) ซึ่งสามารถสืบค้นได้จากฐานข้อมูล เช่น ABI/Inform, CABI Abstracts, Dissertation Abstract Online (DAO), Emerald Insight, Springer, Gale Online Databases, Gale's ASAP, Gale's Computer Database, H.W. Wilson Education เป็นต้น |
สถาบันบริการสารสนเทศ |
สถาบันบริการสารสนเทศ คือ แหล่งรวบรวมสารสนเทศต่างๆ ซึ่งทำหน้าที่จัดเก็บสารสนเทศอย่างมีระบบ ให้บริการและเผยแพร่สารสนเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
ประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศ |
จำแนกสถาบันบริการสารสนเทศตามขอบเขตหน้าที่และวัตถุประสงค์ในการให้บริการ เป็น 9 ประเภท ได้แก่ |
1) ห้องสมุด (Library) เป็นสถาบันบริการสารสนเทศที่เก่าแก่ที่สุดที่รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทุกสาขาวิชาและสื่อทุกประเภท มีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศนวัสดุ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ หน้าที่หลักในการให้บริการ คือ บริการยืม- คืน บริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้า และบริการทรัพยากรสารสนเทศเพื่อการศึกษาและเพื่อความบันเทิง เป็นต้น |
ห้องสมุดแบ่งออกเป็น |
ห้องสมุดโรงเรียน (School Library) ได้แก่ โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ทำหน้าที่ให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ ทั้งสื่อการศึกษาค้นคว้าและสื่อการเรียนการสอนให้แก่ครูและนักเรียน |
ห้องสมุดวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย (Academic Library) เป็นห้องสมุดที่ตั้งอยู่ในสถาบันอุดมศึกษา มีวัตถุประสงค์ในการให้บริการทรัพยากรสารสนเทศ เช่นเดียวกับห้องสมุดโรงเรียน แต่การให้บริการจะกว้างขวางและมีระดับความรู้สูงมากขึ้น เช่น ให้บริการค้นคว้าและวิจัย ให้บริการวารสารเฉพาะวิชาต่างๆเพิ่มมากขึ้น |
- ห้องสมุดกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (203.157.48.5/net/lib) |
- ห้องสมุดของกรมควบคุมมลพิษ (library.pcd.go.th) |
- ห้องสมุดกรมส่งเสริมการเกษตร (secreta.doae.go.th/library) |
- ห้องสมุดการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (www.tat.or.th/tat/library) |
- ห้องสมุดดาราศาสตร์ (thaiastro.nectec.or.th/library/library.html) |
- ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th/library) |
- ห้องสมุดแถบเสียง สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย (www.nectec.or.th/org/tab/service/services.htm) |
- ห้องสมุดสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (www.nesdb.go.th/library/library_nesdb.html) |
- ห้องสมุดสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (www.fda.moph.go.th/lib) |
- ห้องสมุดรัฐสภาไทย (www.parliament.go.th/library) |
ห้องสมุดประชาชน (Public Library) เป็นห้องสมุดที่ตั้งขึ้นเพื่อบริการประชาชนในชุมชนต่างๆ ทุกระดับความรู้ ทุกเพศทุกวัย และทุกอาชีพ ให้บริการส่งเสริมการอ่านและการค้นคว้าตลอดชีวิต เป็นเสมือนวิทยาลัยในชุมชน ได้แก่ |
- ห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี อำเภอวังทรายพูน จังหวัดพิจิตร (www.geocities.com/wangsaiphun_library) |
- ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเชียงใหม่ (www.geocities.com/cmlibrary2003) |
- ห้องสมุดประชาชนจังหวัดเพชรบูรณ์ (www.geocities.com/librarypetch) |
หอสมุดแห่งชาติ (National Library) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมสะสมและรักษาทรัพยากรสารสนเทศของชาติไว้ รวมทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทที่ผลิตในประเทศ จะต้องส่งให้หอสมุดแห่งชาติตามพระราชบัญญัติการพิมพ์ ทำการรวบรวมจัดทำบรรณานุกรมแห่งชาติ กำหนดเลขมาตรฐานสากลประจำหนังสือ (International Standard Book Number : ISBN) และเลขมาตรฐานสากลประจำวารสาร (International Standard Serial Number : ISSN) |
เป็นการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก (Note book) และคอมพิวเตอร์แบบพกพา (Pocket PC) ผู้ใช้จะต้องมี โมเด็ม ชนิด PCMCIA ของ PCT ซึ่งทำให้ผู้ใช้สามารถใช้อินเทอร์เน็ตไร้ได้ ในเขตกรุงเทพ และปริมณฑลได้ |
2) ศูนย์เอกสารหรือศูนย์สารสนเทศ (Documentation Center / Information Center) เป็นแหล่งจัดเก็บรวบรวมสารสนเทศเฉพาะเรื่อง เฉพาะสาขาวิชา เพื่อการค้นคว้าวิจัย และเพื่อการปฏิบัติงานของหน่วยงานที่มีศูนย์สารสนเทศนั้นๆ โดยตรง เช่น |
- ศูนย์เอกสารการพัฒนา สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยขอนแก่น (rdi.kku.ac.th/LIB/page_5.htm) |
- ศูนย์เอกสารองค์กรอนามัยโลก (whodoc.moph.go.th) |
- ศูนย์บริการสารสนเทศทางเทคโนโลยี (TIAC) (www.tiac.or.th) |
- ศูนย์เอกสารกลาง กรมสรรพากร (http://www.rd.go.th/publish/6134.0.html) |
3) ศูนย์ข้อมูล (Data Center) คือ แหล่งรวบรวมข้อมูลและบริการข้อมูลตัวเลขสถิติต่างๆ งานวิจัยต่างๆ ได้แก่ |
- ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม (www.tiac.or.th/tiacthai/industry.htm) |
- ศูนย์ข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ (www.nso.go.th/thai/indext.htm) |
- ศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (www.oie.go.th/industrystat_th.asp) |
- ศูนย์ข้อมูลธุรกิจหลักทรัพย์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (www.set.or.th) |
- ศูนย์ข้อมูลพลังงานแห่งประเทศไทย ของกระทรวงพลังงาน (www.energy.go.th) |
- ศูนย์ข้อมูลเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ (conservation.forest.ku.ac.th/ecotourdb/cgi-bin/frame_main.asp) |
- ศูนย์ข้อมูลมติชน (mic.matichon.co.th) |
4) หน่วยงานสถิติ (Statistical Office) ทำหน้าที่เก็บรวบรวมข้อมูล เก็บสถิติและเผยแพร่ข้อมูลของหน่วยงานนั้นๆ เช่น ศูนย์สถิติการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนย์สถิติการพาณิชย์ ของกระทรวงพาณิชย์ และกองสถิติสาธารณสุข สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น นอกจากนั้นมีหน่วยงานสถิติของสถาบันต่างๆ เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) และสถาบันประชากรศาสตร์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น |
5) ศูนย์วิเคราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Center) ทำหน้าที่รวบรวมและให้บริการสารสนเทศเฉพาะวิชา โดยการนำมาทำการวิเคราะห์ ประเมิน สรุปย่อ และจัดเก็บในลักษณะของแฟ้มข้อมูล เพื่อใช้ในการให้บริการตอบคำถามและจัดส่งให้ผู้ที่สนใจในรูปของบริการข่าวสารทันสมัย และในรูปของสิ่งพิมพ์ |
6) ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ (Information Clearing House) ทำหน้าที่รวบรวมจัดเก็บและผลิตทรัพยากรสารสนเทศในรูปสื่อต่างๆ นอกจากนั้นยังทำหน้าที่ติดต่อขอทรัพยากรสารสนเทศในสาขาที่เกี่ยวข้องจากผู้ผลิต เพื่อรวบรวมให้เป็นระบบ สะดวกในการค้นคว้า และการแนะนำแหล่งข้อมูล เช่น การทำบัตรรายการ จัดทำบรรณานุกรม ดัชนี สาระสังเขป และจัดทำรายชื่อทรัพยากรสารสนเทศ เป็นต้น หน่วยงานที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์แจกจ่ายสารสนเทศที่สำคัญ ได้แก่ หอสมุดรัฐสภาอเมริกัน (The Library of Congress) หอสมุดแห่งชาติประเทศอังกฤษ (The British Library) หอสมุดแห่งชาติของไทย ห้องสมุดยูเนสโก และมูลนิธิเอเชีย (Asia Foundation) เป็นต้น |
7) ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ (Referral Center) เป็นสถาบันที่ทำหน้าที่รวบรวมสารสนเทศที่เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลหรือสถาบันสารสนเทศอย่างกว้างขวางในสาขาวิชาที่ศูนย์รับผิดชอบ สามารถแนะนำแหล่งสารสนเทศที่เหมาะสมและตรงกับความต้องการได้ นอกจากนั้นยังจัดทำเอกสารเพื่อเผยแพร่ แจ้งข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ตลอดจนรายชื่อทรัพยากรสารสนเทศใหม่ๆ จัดทำเป็นบรรณานิทัศน์ ดัชนีวารสาร และสาระสังเขป เป็นต้น |
8) หอจดหมายเหตุ (Archive) ทำหน้าที่จัดเก็บเอกสารทางราชการและเอกสารทางประวัติศาสตร์ของรัฐบาล เช่น ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือโต้ตอบ บันทึกรายงาน แบบพิมพ์ แผนที่ แผนผัง และภาพถ่าย เป็นต้น เพื่อใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในการศึกษาค้นคว้าและวิจัย |
9) สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ (Commercial Information Service Center) อาจจะเป็นห้องสมุดหรือศูนย์ข้อมูลที่จัดให้มีบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เช่นการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต โดยเก็บค่าสมาชิกหรือเก็บตามราคาที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นอาจจะเก็บค่าบริการเป็นค่าสมาชิกสำหรับการจัดส่งเอกสารหรือข่าวสารด้านธุรกิจ การวิเคราะห์ข้อมูล การรายงาน การสรุปข่าวหรือจดหมายข่าว เป็นต้น |
นอกจากนั้นมีบุคคลหรือองค์กรที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าค้าสารสนเทศ ตัวแทนขายสารสนเทศและองค์กรที่ทำธุรกิจอุตสาหกรรมสารสนเทศ ทำหน้าที่รวบรวมจัดเก็บ ประมวลผล ประเมินค่าและเผยแพร่สารสนเทศและให้บริการตามความต้องการ เช่น การส่งเอกสาร การค้นสารสนเทศ บริการเขียนโครงร่างงานวิจัย เขียนรายงาน ทำวิจัย วิเคราะห์ตลาด งานแปล จัดทำโฆษณาและงานบรรณาธิการ เป็นต้น |
9) สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ (Commercial Information Service Center) อาจจะเป็นห้องสมุดหรือศูนย์ข้อมูลที่จัดให้มีบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เช่นการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ต โดยเก็บค่าสมาชิกหรือเก็บตามราคาที่ปรากฏบนจอคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นอาจจะเก็บค่าบริการเป็นค่าสมาชิกสำหรับการจัดส่งเอกสารหรือข่าวสารด้านธุรกิจ การวิเคราะห์ข้อมูล การรายงาน การสรุปข่าวหรือจดหมายข่าว เป็นต้น |
ปัจจุบันในประเทศไทยมีบริษัทต่างๆ ได้จัดตั้งเป็นสถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ ได้แก่ |
- ศูนย์ข้อมูลมติชน ให้บริการสืบค้นข้อมูลจากแฟ้มข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในประเทศไทย พร้อมข่าวสารจากนิตยสารและสิ่งพิมพ์อื่นๆ มีบริการตัดเก็บข่าวจากหนังสือและวารสาร จัดส่งข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ และบริการห้องสมุดภาพ เป็นต้น |
- บริษัทยูไนเต็ด บรอดแบนด์เทคโนโลยี จำกัด (ยูบีที) ให้บริการข้อมูลระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง |
- บริษัท โอซีแอลซี (OCLC) ให้บริการค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต เป็นต้น |
หน้าที่ของสถาบันบริการสารสนเทศ |
1) รวบรวมทรัพยากรสารสนเทศทุกรูปแบบที่มีคุณภาพ ทันสมัย และมีประโยชน์กับสาขาวิชาที่สถาบันบริการสารสนเทศนั้น ๆ |
2) จัดเก็บข้อมูลอย่างมีระบบด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการจัดเก็บและการให้บริการ |
3) ผลิตทรัพยากรสารสนเทศ เพื่อบริการ จำหน่ายจ่ายแจก แลกเปลี่ยนกับสถาบันสารสนเทศอื่นๆ และเพื่อการประชาสัมพันธ์ |
4) จัดทำฐานข้อมูลและมีบริการค้นคว้าสารสนเทศ |
5) จัดสถานที่อ่านให้เหมาะสมเป็นสัดส่วน ปรับอุณหภูมิและแสงสว่างที่เหมาะกับการศึกษาค้นคว้าวิจัย |
6) จัดให้มีศูนย์แนะนำแหล่งสารสนเทศ โดยการรวบรวมรายชื่อแหล่งสารสนเทศทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อแนะนำให้ผู้ใช้ได้ค้นคว้าแหล่งสารสนเทศอื่นๆได้อีก |
7) จัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านในรูปแบบต่างๆ |
8) จัดบริการพิเศษต่างๆ ให้กับผู้ใช้ เช่น การจัดทำข่าวสารทันสมัย การหมุนเวียนวารสารบริการหนังสือสำรอง (Reserved Book) บริการแปล (Translation Service) บริการถ่ายเอกสาร บริการทำบรรณนิทัศน์ (Book Annotation Service) และบริการยืมระหว่างห้องสมุด (Inter-library Loan Service) เป็นต้น |
9) จัดบริการตอบคำถามและช่วยค้นคว้าข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต |